Day - 2
2019 / 12 / 16
วันนี้เราจะไปหาภูเขาไฟฟูจิกันนน 6:10 น. ออกจากโรงแรม ยังมืดๆอยู่เลย
เราได้จองรถไฟโดยใช้ Wide pass ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ต้องไปขึ้นที่ชินจูกุ นั่งรถไฟจากสถานีInaricho ไปเลย
ไปถึงก็เกือบๆเจ็ดโมง เราจองรถไฟรอบ 7:30 น.ไว้ เผื่อเวลามาเลือกข้าวกล่อง เลือกของกินไปกินบนรถไฟ
เมื่อเราถึงสถานีShinjuku แล้วก็หาชานชาลาสำหรับรถไฟ Azusa ให้ดูป้ายสาย Chuo Line (Limited Express) for Otsuki ไว้
ขึ้นไปเลย คิดว่าสถานีคงจะอยู่ระหว่างปรับปรุงอยู่
ตอนนี้เราก็เริ่มใช้ Wide pass ได้เลย เพียงแค่เข้าช่องที่อยู่ตรงห้องที่มีจนท.ยืนอยู่(ส่วนใหญ่จะอยู่ช่องไม่ขวาสุดก็ซ้ายสุด) เมื่อเริ่มใช้ครั้งแรกจนท.จะปั๊มตราลงบนพาสให้เราเพื่อระบุวันที่เราเริ่มใช้
และนี่คือตั๋วที่นั่งที่เราได้ทำการจองไว้เมื่อวาน อย่าลืมไปยืนตรงจุดตู้ขบวนที่ระบุตามตั๋วให้ถูกต้อง
รถไฟมาโดยไม่ทันตั้งตัว ยกกล้องถ่ายไม่ทัน 55555 ถ่ายได้แค่ส่วนตู้ขบวน
ข้าวกล่องที่น้องเลือกมา น่าจะเป็นข้าวหน้าเนื้อ ซึ่งเรากินข้าวเช้าไม่ได้อดไป
และก็ได้เวลาหลับอีกแล้ว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงถึงสถานี Otsuki ความรู้สึกแรกที่ลงมาจากรถไฟคือคุณพระคุณเจ้าหนาวมากกกกก ทำไมมันหนาวแบบนี้ สั่นเลย เราใส่ฮีทเทคสองตัวกับโค้ทขนเป็ดยังสั่นเลย กางเกงก็ฮีทเทคสองชั้นนะยังรู้สึกเอาไม่อยู่
1 องศาจ้า
จากนั้นเราต้องไปเปลี่ยนเป็นสาย Fujikyu Railway ที่นี่ป้ายบอกชัดเจนไม่มีหลง เดินตามป้ายไปเลย
ตรงจุดนี้ถ้าใครไม่ได้ใช้wide pass ก็ให้ไปทางช่องซ้ายเพื่อไปซื้อตั๋ว แต่ถ้าใครใช้ wide pass ให้โชว์พาสให้จนท.ดูทางช่องขวาเดินเข้าได้เลย
มายืนที่ชานชาลารอรถไฟก็เจอกับรถไฟลายนารูโตะจอดอยู่
ยืนรอไม่นานรถไฟก็มา เหมือนเราจะได้ขึ้นเป็นกลุ่มแรกเลยมั้งเนี่ย
รถไฟออกได้ประมาณ 20 นาทีก็แอบเห็นยอดภูเขาไฟฟูจิแล้ววววววว วันนี้ฟ้าแจ่มเป็นใจมากๆ
สวยสุดๆอ่ะ อย่างกับภาพตัดต่อ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใกล้ๆขนาดนี้ เจอลูกใหญ่เลย ตอนเห็นภาพที่หลายๆคนถ่ายมายังคิดอยู่ว่าเขาอาจจะใช้เลนส์ซูมอะไรรึเปล่ามันไม่น่าจะเห็นได้ใหญ่ขนาดนี้ พอมาเห็นกับตาตัวเองนี่ทึ่งเลย
สวยอย่างกับตัดต่อ 55555 สวยมากจริงๆ
ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงก็มาถึงสถานี Shimoyoshida มีภาษาไทยด้วยแสดงว่าคนไทยมาเยอะจริงๆ
แม่เกิดหิวเห็นมีร้านร้านหนึ่งอยู่ข้างๆสถานีเลยแวะเข้าไปสักหน่อย เป็นคาเฟ่ขายพวกเค้ก กาแฟ มีอาหารนิดๆหน่อยๆ
กินเค้กกันตั้งแต่เช้าเลยใครเป็นคนคิดดดดด เรากินได้แค่นิดๆหน่อยๆก็อร่อยดีเหมือนกัน
เดิมทีตามแผนที่เราวางไว้คือจะไป Chureito Pagoda หรือเจดีย์แดง แต่พอบอกพ่อว่าต้องเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นพ่อก็ไม่ไป อ่ะ งั้นเราก็เลยเลือกเดินชมวิวในเมืองไปละกัน
แมวญี่ปุ่น เดินตามมาตลอดเห็นแล้วอยากอุ้มกลับไทยจริงๆ
และแล้วก็เดินมาถึงจุดถ่ายภูเขาไฟฟูจิยอดฮิต เนี่ยย มันสวยเหมือนตัดต่อจริงๆอ่ะ 555555
และก็อีกเหมือนเดิม แผนที่เราวางไว้คือจะไปKawaguchiko พ่อก็ไม่ไปอีก เลยกลับโตเกียวละกัน ไปออกตั๋วใหม่จากที่เราจองไปเมื่อวาน เป็นรอบ 13:06 น. แทน
.....................................
ถึงโตเกียวก็กลับโรงแรมไปถอดพวกฮีทเทคออกให้เหลือตัวเดียว อากาศโตเกียวไม่ต้องการความอบอุ่นขนาดนั้น
ข้าวเที่ยงยังไม่ได้กินกันเดินผ่านyaoiก็เข้าไปเลย เนื่องจากทุกคนอยากกินเนื้อและไม่รู้จะสั่งอะไรดี เลยเอาเหมือนๆกันหมด เป็นเนื้อสเต็กหั่น อร่อยใช้ได้
กินเสร็จก็เดินไปตลาดAmeyoko
และน้องก็โดนร้านYamashiroyaตกไปเรียบร้อย ให้เราไปเดินตลาดกับพ่อและแม่แทน
ส่วนเรากับแม่ก็เดินเข้ามาได้หน่อยเดียวก็โดนร้านของฝากตกไปเหมือนกัน 555555
เดินเที่ยวซื้อของฝากกันไปเรื่อยๆ
ชานมไข่มุกเจ้าโปรด Hi Cha อยู่ตรงข้ามกับ Ueno Station Hostel Oriental 1 เลย
ช็อปปิ้งจนหนำใจแล้วก็ไปTokyo Skytree กันต่อ
ในที่สุดก็ได้มาสักทีหลังจากแผนล่มไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มาญี่ปุ่น สูงมากจริงๆ
เข้าไปซื้อตั๋วกันก่อน
เราซื้อตั๋วแบบ Combo ไปได้ทั้งชั้น 350 เมตร และ 450 เมตร คนละ 3,100 เยน
ไปขึ้นลิฟต์กัน ช่วงที่ไปคนไม่เยอะไม่ต้องซื้อ fast pass ก็ได้ ลิฟต์จะเปิดเป็นรอบๆ คงจะดูจำนวนคนถ้าได้ครบแล้วคงเปิดลิฟต์ให้ขึ้น พนง.จะเป็นคนเปิดลิฟต์ให้เองและก็บรรยายว่าลิฟต์ใช้เวลาเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ไรงี้
พอใกล้ถึงลิฟต์ก็ค่อยๆลดความเร็วจนเหลือ 0
เปิดออกมาก็จะเจอกับชั้น 350 เมตร
บริเวณด้านในก็จะมืดๆ สลัวๆ หน่อยเพื่อที่จะได้มองเห็นวิวด้านนอกชัดๆ
โตเกียวยามค่ำคืน เห็นโตเกียวทาวเวอร์ไกลลิบๆนั่นด้วย
แต่ละจุดก็จะมีจอไว้ให้เราซูมดูมันก็จะขึ้นบอกว่าตรงนั้นคืออะไร
เดินวนจนครบรอบแล้วก็ไปรอขึ้นลิฟต์ไปชั้น 450 เมตร
ด้านบนเราจะเห็นว่าเราค่อยๆขึ้นไปด้วย
ชั้นนี้ก็ไม่มีอะไรมากเราแค่มองเห็นวิวโตเกียวสูงกว่าเดิมแค่นั้น
เดินวนจนครบรอบก็ลงไปไม่แน่ใจว่าชั้น 340 หรือเปล่าที่ตรงพื้นจะเป็นกระจกมองเห็นด้านล่าง
จบจากที่นี่ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไปกิน Ichiran ramen กันหวังว่าคนจะไม่เยอะอีกนะ
เมื่อไปถึงร้านจะมีพนง.มาถามว่าจะนั่งเป็นโต๊ะใหญ่หรือโต๊ะเดี่ยว(ที่กั้นเป็นล็อคๆ) เราเลือกนั่งโต๊ะใหญ่ จากนั้นเราก็ไปกดที่ตู้ได้เลย เลือกราเมง ถ้าใครจะเอาเนื้อ เส้น ไข่ หรือหมูเพิ่มก็กดเพิ่มเลย
เมื่อเรากดเสร็จแล้วพนง.ก็จะนำใบสีเหลืองมาให้เราและเราก็วงกลมเลือกสิ่งที่เราต้องการ
1. Dashi ซุป (เลือกความเข้มข้นของซุป) = อ่อน // ปานกลาง // เข้มข้น
2. Richness ความมันของน้ำ = ไม่เลย // อ่อน // ปานกลาง // มัน // มันมาก
3. Garlic กระเทียม = ไม่ใส่ // ใส่ // ปกติ // ครึ่งกลีบ // 1กลีบ
4. Green Onion ต้นหอม = ไม่ใส่ // ใส่ต้นหอม(สีขาว) // ใส่ต้นหอม
5.Chashu หมูสไลด์ = ไม่ใส่ // ใส่
6. Original Spicy Red Sauce ซอสเผ็ด = ไม่เผ็ด // ครึ่งช้อน // ปานกลาง // เผ็ดระดับ 2 // ถ้าต้องการเผ็ดมากกว่า 2 ให้เติมตัวเลขลงไปจนได้ถึงระดับ 10
7.Noodle Texture เส้น = แข็งมาก // แข็ง // ปานกลาง // นุ่ม // นุ่มมาก
วงเส้นแล้วก็ส่งให้พนง. รอไม่นานราเมงที่เราเลือกก็มาเสิร์ฟ เขาจะถามว่าของใครเป็นของใครไม่ต้องกลัวสลับกัน
เราเป็นคนกินเผ็ดมากนะ แต่ไม่กล้าลองซอสเผ็ดของญี่ปุ่นเลยเลือกแบบซอฟๆระดับ 2 ไปก่อน
ความเผ็ดระดับนี้ถือว่าเด็กๆเลย น้ำซุปเข้มข้นดีอร่อยมาก หอม มีความเผ็ดนิดๆมาตัดความเลี่ยน ถ้าเลือกไม่ใส่พริกเลยคิดว่าคงจะเลี่ยนมาก
ส่วนของแม่เลือกเผ็ดระดับ 10 ลองชิมแล้วเผ็ดระดับนี้เรากินได้เลย ไม่ได้เผ็ดอะไรมากมายจนกินไม่ได้ แต่! รสชาติของพริกมันจะไปกลบความหอมของน้ำซุปมันจะกลายเป็นรสพริกมาแทน แต่โดยรวมถือว่าอร่อยนะ ถ้าใครกินเผ็ดได้นิดหน่อยคิดว่าไม่น่าจะกิน(ระดับ10)ได้ พ่อเป็นคนกินเผ็ดไม่ค่อยได้เลือกพริกครึ่งช้อนยังบ่นเผ็ด
โดยส่วนตัวเราว่าเผ็ดซัก 4-5 น่าจะกำลังพอดีจะได้กลิ่นหอมของซุปด้วย
กินเสร็จแล้วกลับโรงแรมนอนเตรียมตัวเที่ยววันต่อไป
จบ Day-2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น