เราได้มีโอกาสไปดูคอนเสิร์ตของTohoshinki ที่ญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกทีไ่ด้ไปประเทศญี่ปุ่น ตื่นเต้นมากกก กลัวด้วยเพราะภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้เลย ภาษาอังกฤษก็งูๆ ปลาๆ เลยทำการบ้านมาพอสมควร
เริ่มแรกที่รู้ว่าโทโฮจะจัดคอนที่Nissan Stadium เราก็วางแผนเลย ประกาศคอนช่วงเดือนมกรา จัดเดือนมิถุนา แล้วช่วงนั้นพอดี๊พอดีที่Thai Airasia X มีโปรเปิดไฟลท์ใหม่บินตรงไปญี่ปุ่น 3,333 บาท ก็เลยจองตั้งแต่เดือนมกราคมเลย
=========================================
Day - 0
08 / 06 / 2018
CNX - BKK
รอบนี้เราจองแบบแยกขาพอเปรียบเทียบดูแล้วถูกกว่า fly-thru เยอะ
เทียบราคากับหลายสายการบินสรุปจบที่การบินไทย 1,265 บาท ได้นน.กระเป๋า 20 โล ที่นั่งก็จองฟรีด้วย
เตรียมพร้อม!! ไปสนามบินกัน!!!
19:00 น. ถึงสนามบินเชียงใหม่ เช็คอินเรียบร้อย
กินเสร็จเข้าไปนั่งรอในเกท นั่งคุยกับเพื่อนไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง รอบนี้เป็นบินกับ Boeing 777-200ER
เบาะกว้างดี และที่เหลือพอสมควรเลย
22:10 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ตามเวลาเป๊ะ
จากนั้นเราก็ไปขึ้นรถ Shuttle Bus เพื่อจะไปสนามบินดอนเมือง ตอนนั้นเราไปถึงประมาณ 22:50 น. นั่งรอรถชัทเทิลบัสรอบ 23:00 น.
=============================================
Day - 1
09 / 06 / 2018
DMK - NRT - Tokyo - Shinyokohama raumen museum
เที่ยงคืนเราก็มาถึงสนามบินดอนเมือง ตอนนั้นหิวมากก แล้วร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ ปิดกันเกือบหมดแล้ว เดินๆ สำรวจดูสรุปกันว่าแบล็คแคนยอนก็ได้ -.- แต่พวกข้าวอะไรงี้ไม่มีแล้ว เลยได้ชาเย็นมาแก้วแล้วขนมอีกถุง
ไฟลท์บินไปญี่ปุ่นของเรา รอบนี้ได้โปรเปิดไฟลท์ใหม่บินตรงไปญี่ปุ่นพอดี เราเลือกแพ็คสุดคุ้ม(มาเพิ่มเงินเปลี่ยนที่นั่งทีหลัง) นน.กระเป๋าซื้อขาไป 20กิโล ขากลับ 25กิโล รวมเบ็ดเสร็จ 10,034 บาท
พอกินเสร็จเราไปสำรวจเคาน์เตอร์ที่จะเช็คอิน มีป้ายติดว่าเคาน์เตอรเปิดตี 2:30 เลยไปหาที่นั่งรอเวลา ตอนนั้นคือเริ่มง่วงละ ปกติเป็นคนนอนดึกนะ แต่พอไม่มีอะไรทำความง่วงก็เข้าครอบงำทันที
พอตี1กว่า เราเริ่มไม่อะไรทำแล้วสิ เม้าท์กันจนหมดแล้วเลยเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์เลย ที่เคาน์เตอร์เช็คอินมีคนเยอะมากกกก ส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์ มีไม่รู้กี่ทัวร์ต่อกี่ทัวร์ แถวยาวเอียดเลย แล้วทีนี้ก็มีจนท.ผู้ชายเดินมาถามว่ามีใครเช็คอินออนไลน์มาแล้วบ้าง เราก็ยกมือเค้าก็บอกให้เดินตามมา
เราก็เดินตามจนท.ไป แซงแถวยาวๆ ที่รอเช็คอินไปเข้าช่องสำหรับคนที่เช็คอินมาแล้ว แล้วเราก็ได้เป็นคนแรกเลย นี่แหละข้อดีของการเช็คอินออนไลน์มา ไม่ต้องไปต่อแถวยาวๆ ให้เสียเวลา
ประมาณตี2เกือบครึ่ง เคาน์เตอร์เช็คอินก็เปิด เช็คอิน โหลดกระเป๋าให้เรียบร้อย ขาไปกระเป๋าเราแค่ 11 โลเอง
คราวนี้เราเลยเปลี่ยนเครื่องไปเครื่องถัดไปก็สแกนไม่ผ่านอีก เพื่อนเราก็เป็นเหมือนเราเลย รอบแรกผ่านจนมาสแกนนิ้วจนเกินเวลาก็โดนเตะกลับมาใหม่เหมือนกัน 55555 แล้วคราวนี้เราก็สแกนพาสฯกันไม่ได้อีกเลย
พอดีมีจนท.เดินมาเลยบอกเขาว่า "หนูแสกนพาสฯไม่ได้" เขาก็เลยเปิดเคาน์เตอร์แล้วก็ปั๊มตราปั๊มให้เราแทน จบความวายป่วงกันไป มีปัญหาตั้งแต่ประเทศไทยเลย 555555
เราได้เกท 12 เดินไปสำรวจเกทก่อนว่าอยู่ตรงไหนไรงี้ ถือโอกาสเดินฆ่าเวลาไปด้วย เพราะอีกตั้งสองชั่วโมงแน่ะกว่าจะเรียกขึ้นเครื่องแล้วเราเป็นโซน3 โซนสุดท้ายเลยในการขึ้นเครื่อง
และแน่นอนว่ายังไม่มีใครมา
ไปเดินเล่น ดูของในดิวตี้ฟรีไปเรื่อยๆ
เครื่องบินลำที่จะพาเราไปญี่ปุ่นนน
เห็นคนเริ่มมากันเยอะแล้ว เราเลยเข้าไปหาที่นั่งในเกทรอเวลาขึ้นเครื่อง
ตี4:50 เราได้ขึ้นเครื่องแล้วจ้าา
คือตอนแรกเราง่วงสุดๆเลยอ่ะ พออยู่บนเครื่องดั๊นนนไม่หลับซะงั้น แต่คือยังไงมันก็ต้องพยายามนอนให้ได้ เพราะโปรแกรมเราคือถึงแล้วเที่ยวเลย 55555 พยายามหลับตาฟังเพลงนอนไป แล้วมันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นอ่ะ สะดุ้งตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่าได้หลับไปหรือเปล่า
หลังจากนี้จะเป็นเวลา JST +9
จนประมาณ 11 โมง แอร์ฯก็มาเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเราซื้อเป็นแพ็คสุดคุ้มมา มีอาหารให้แต่เราเลือกไม่ได้ว่าจะเอาอะไร
อาหารของเรามาแล้ววว มาพร้อมกับน้ำเปล่า 1 ขวดเล็ก
เป็นข้าวไก่เทริยากิ ดูน่ากินมากเลย รสชาติโอเคนะกินได้แต่ด้วยความที่เราไม่กินข้าวเช้าอยู่แล้วเลยกินไปได้แค่นิดเดียวเอง ขนาดกินแค่นิดเดียวนะ เดินเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่นเลย
กินเสร็จหลับไม่ลงแล้วเปิดไอแพดดูหนังที่โหลดมา ส่องหน้าต่างไปซักพัก ได้ยินเสียงประกาศว่าอีก 30 นาทีจะถึงนาริตะแล้ว
ส่องหน้าต่างไปเรื่อยๆ เห็นแล้ววววว แผ่นดินญี่ปุ่น จากที่เฉยๆ กลายเป็นตื่นเต้นเลยครั้งแรกที่ได้มาประเทศญี่ปุ่น
13:00 เป๊ะ แลนด์แล้วจ้าาาา
Welcome to Japan
ลงเครื่องแล้วจากนั้นก็เดินๆๆๆ มาเรื่อยๆ
เดินไปเรื่อยๆ จะเจอโต๊ะหลายๆโต๊ะ เรากับเพื่อนเข้าไปโต๊ะเดียวแต่คนละฝั่ง ยื่นใบ Disembarkation Card ที่กรอกเรียบร้อยบนเครื่องให้จนท. แล้วสแกนนิ้วมือ ซึ่งตรงนี้เรามีปัญหาอีกแล้ว สแกนไม่ผ่านจ้า สี่ห้ารอบเห็นจะได้ จนท.เลยบอกโอเค ไม่เป็นไร ให้ไปที่เคาน์เตอร์ตรงนั้นแล้วกัน แล้วชี้ไปทางเคาน์เตอร์ด้านหลัง เราก็โอเค ขอบคุณ
ไปถึงเคาน์เตอร์ ยื่นพาสปอร์ตให้ สแกนลายนิ้วมือ รอบแรกไม่ผ่านนน รอบที่สองก็ไม่ผ่านอีก เช็ดนิ้วหลายรอบแล้วนะ เช็ดๆๆอยู่นั่นแหละ แล้วลองอีกรอบ ผ่านจ้าาา โอ๊ยยยย ระทึกมาก 55555
เรากับเพื่อนก็ผ่านมาได้โดยที่ไม่โดนถามอะไรเลย เสร็จแล้วเดินๆๆ ไปรับกระเป๋า ยื่นใบศุลกากรให้จนท. แล้วออกมาด้านนอกเลย
นี่หรือคือสนามบินนาริตะ เราถึงญี่ปุ่นจริงๆแล้วใช่มั้ยเนี่ยยยย โอ๊ยตื่นเต้น
จากนี้สองสาวต้องผจญภัยในเมืองญี่ปุ่นเองแล้วสิ
จากนั้นไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าโตเกียวที่ Skyline & Keisei Information Center
ที่หาข้อมูลมามีทั้ง N'EX และ Keisei skyliner โรงแรมเราอยู่อาซากุสะเลยเลือก Keisei ไปลงUeno
เราซื้อตั๋วรถไฟ keisei skyliner ไป-กลับ + Tokyo Subway pass 72 hour สนนราคาอยู่ที่ 5,400 เยน
ตั๋วขาไปของเรา
รถไฟเขาตรงเวลามากนะ ตรงจนตกใจเลย 5555 รอไม่นานรถไฟก็มา ขึ้นไปหาที่นั่งของเรา
ด้านหน้าเราเหลือที่ว่างพอสมควร กว้างขวาง คิดภาพวันกลับแล้วว่าทุกคนต้องมีกระเป๋าอย่างน้อยหนึ่งใบ ถ้าเราเอาไปวางไว้ที่ไว้กระเป๋าไม่ได้เราก็เอามาวางตรงหน้าเราก็ได้
รถไฟจะมีทั้งหมด 8 ตู้ และเราอยู่ตู้ที่ 4
คุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ นึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อบัตรsuica!! แต่คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามสถานีต่างๆน่าจะมีเดี๋ยวค่อยไปซื้อที่ Ueno ก็ได้
ใช้เวลาประมาณ 41 นาที ถึงสถานี Ueno
เราจะต้องต่อรถไฟใต้ดินเพื่อไปลงที่สถานี Tawaramachi ต้องเดินออกจากสถานี Keisei-Ueno ไปสถานี Ueno คือเดินวนหาตู้จะซื้อบัตรsuicaไม่มีเลย เลยไปถามจนท. เขาบอกว่าต้องไปซื้อที่สถานี Keisei-Ueno อ่ะก็เข็นกระเป๋าเดินกลับไปใหม่
เจอตู้ปุ๊บเข้าไปกดซื้อเลย รอบแรกเราเติมเงินไป 3000 เยน แต่จะตัดเป็นค่าบัตร 500 เยน เท่ากับว่าเราจะเหลือเงินในบัตร 2,500 เยน
จากนั้นเราก็กลับมาที่สถานี Ueno เพื่อขึ้นรถไฟใต้ดิน ขึ้นสาย Ginza ไปลงที่สถานี Tawaramachi สถานีเดียวถึงเลย
ถึงสถานี Tawaramachi หาทางออกที่ 3
ระหว่างทางเดินไปโรงแรมเห็น Tokyo Skytree เด่นเป็นสง่าเลย แต่....ไม่ได้ไป TT ใกล้แค่นี้เอง แต่เวลาไม่พอ เรานอกแพลนกันเยอะ อากาศเราว่าโอเคนะ ไม่ร้อนไป บ้านเราร้อนกว่า
เดินชมบ้าน ชมเมือง ถ่ายรูปอะไรกันไปเพลินๆ แป๊บเดียวก็มาถึงแล้วว โรงแรมของเรา
เข้าไปเช็คอิน ห้องที่เราจองมาคือห้องเตียงแฝด เตียงใหญ่ใช้ได้ ห้องแคบ แต่มีห้องน้ำส่วนตัว
วิวเมื่อมองจากหน้าต่างห้องลงมา
แต่วันนี้เรายังไม่นอนที่นี่ แค่เอากระเป๋าใหญ่มาไว้เฉยๆ และจัดการแยกของใช้ที่จำเป็นแล้วไปนอนที่โยโกฮาม่า
กว่าจะทำอะไรเรียบร้อยตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นแล้ว แวะFamily mart หาอะไรกิน ไม่รู้จะกินอะไรดี หิวนะ แต่ไม่ค่อยอยากกินอะไรเยอะ ปกติเป็นคนไม่ค่อยกินอะไรเวลาอยู่นอกบ้าน เลยซื้อไข่หวานมาลองกินดู มันก็พอกินได้ ไม่แย่มาก ไม่หวานเกินไป ยังมีเค็มๆ อยู่บ้างนิดๆ
จากนั้นเราก็ไปที่สถานี Tawaramachi เหมือนเดิม นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Tokyo เพื่อจะไปขึ้นชินคันเซ็นไปโยโกฮาม่า
หน้าตาตั๋วชินคันเซ็นจะเป็นแบบนี้ เราซื้อแบบ Unreserved seat
ได้นั่ง Nozomi แล้ววววว
ประมาณ 18:30 น.ก็ถึงshin-yokohama หาทางออกที่ 8 โรงแรมจะอยู่ตรงข้ามเลย
(ขอยืมภาพจากเว็บ booking.com)
ที่นี่เราจองเป็นห้องเตียงกึ่งใหญ่มา เพราะมันเหลืออยู่ห้องเดียว และมีห้องน้ำส่วนตัว ห้องกว้างกว่าโรงแรมที่โตเกียวหน่อย
เช็คอินเสร็จ เอาของไปไว้ในห้อง ตอนนั้นอาการคือเกือบสาหัสละ ล้ามาก สละทุกอย่างถือแต่กระเป๋าตังค์ออกมาใบเดียวมาช็อปปิ้ง เพราะมาญี่ปุ่นนี่มา 6 วันแต่เอาชุดมาแค่ 2 ชุดเอง 5555 สรุปจบลงที่ยูนิโคล่ -.- ซื้อจนได้ tax refund ใบแรกของทริป
ช็อปกันกระจายไปเรื่อยๆ เริ่มหิวกันอีกแล้ว ไปจบที่ Shin-Yokohama Raumen Museum ค่าเข้าคนละ 310 เยน มีพนง.คนไทยด้วย
พอเข้าไปก็เจอกับสแตนดี้โทโฮชินกิเลยจ้าา ยืนหล่อกันสองคนเลย เลิฟเลิฟ
แล้วก็ไอเท็มพิเศษเป็นราเมงให้มาต้มกินเองที่บ้าน แล้วกล่องจะเป็นสัญลักษณ์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้ จำกัดคนละ 5 กล่อง เราจัดมาเลยทั้ง 5 กล่อง
ซื้อเสร็จแล้วลงไปข้างล่างหาราเมงกิน คือมีหลายร้านมาก บรรยากาศมืดๆ สลัวๆ น่ากลัว ให้ความรู้สึกเหมือนมาบ้านผีสิง 55555
มองไปร้านไหนก็คนเยอะ เลยเอาร้านที่คนน้อยที่สุด ไปโดนร้าน Muku Zweite ไปยืนดูตู้กดหน้าร้านรูปไหนน่ากินเอาอันนั้นแหละ 55555
บรรยากาศภายในร้าน
มาแล้วราเมงของเรา อะไรก็ไม่รู้อ่ะ แต่อร่อย น้ำซุปเข้มข้นมาก เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี ดูเหมือนชามเล็กแต่ก้นลึก กินไม่หมด TT
กินเสร็จเดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย เกือบจะเดินออกแล้วแต่เพื่อนทักว่ามีกาชาปองโทโฮ เลยหันขวับ!
หมุนมาได้ 4 อัน เงินพอแค่นี้ แถมยืมเพื่อนมาอีก 600 เยนด้วย 55555
จากนั้นก็กลับโรงแรม เตรียมตัวอาบน้ำ นอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าเลย
จบ Day-1
=====================================
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น